รสในวรรณคดี แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. รสวรรณคดีไทยซึ่งใช้แบบเดียวกับบาลี ๒. รสวรรณคดีสันสกฤต ซึ่งวันนี้เราจะพูดถึงประเภทที่ ๑ คือ รสวรรณคดีไทย ก่อนนะคะ
วันนี้มาดูกันว่า "รสในวรรณคดี" ที่พบได้ในเรื่องต่าง ๆ มีอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ
๑. เสาวรจนี (บทชมความงาม) ใช้ชมความงามของธรรมชาติ ต้วละคร หรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น
บทชมความงามของนางอัปสรซึ่งเป็นร่างแปลงของพระนารายณ์ เพื่อมาหลอกล่อให้ยักษ์นนทกหลงรัก ซึ่งความงามของนางนารายณ์แปลง งามยิ่งกว่าพระลักษมีชายาของพระนารายณ์และพระสุรัสวดีชายาของพระพรหม จึงทำให้นนทกหลงรักนางแปลงและอยากทำความรู้จักกับนาง
"เหลือบเห็นสตรีวิไลลักษณ์ พิศพักตร์ผ่องเพียงแขไข
งามโอษฐ์งามแก้มงามจุไร งามนัยน์งามเนตรงามกร
งามถันงามกรรณงามขนง งามองค์ยิ่งเทพอัปสร
งามจริตกิริยางามงอน งามเอวงามอ่อนทั้งกายา
ถึงโฉมองค์อัครลักษมี พระสุรัสวดีเสน่หา
สิ้นทั้งไตรภพจบโลกา จะเอามาเปรียบไม่เทียบทัน
ดูไหนก็เพลินจำเริญรัก ในองค์เยาวลักษณ์สาวสวรรค์
ยิ่งพิศยิ่งคิดผูกพัน ก็เดินกระชั้นเข้าไป ฯ"
นอกจากนี้พระเอกในวรรณคดีไทยหลาย ๆ เรื่อง ก็มีบทชมความงามกับเขาเหมือนกัน เช่น ความสง่างามของพระลอ จากเรื่องลิลิตพระลอ ดังนี้ค่ะ
ประเสริฐสรรพสรรพางค์ แต่บาทางค์สุดเกล้า พระเกศงามล้วนเท้า พระบาทไท้งามสม สรรพนา
๐ รอยรูปอินทร์หยาดฟ้า มาอ่าองค์ในหล้า แหล่งให้คนชม แลฤา ฯ
๐ พระองค์กลมกล้องแกล้ง เอวอ่อนอรอรรแถ้ง ถ้วนแห่งเจ้ากูงาม บารนี ฯ
๐ โฉมผจญสามแผ่นแพ้ งามเลิศงามล้วนแล้้ รูปต้องติดใจ บารนี ฯ
๐ ฦๅขจรในแหล่งหล้า ทุกทั่วคนเที่ยวค้า เล่าล้วนยอโฉม ท่านแล ฯ
๐ เดือนจรัสโพยมแจ่มฟ้า ผิบได้เห็นหน้า ลอราชไซร้ดูเดือน ดุจแล ฯ
๐ ตาเหมือนตามฤคมาศ พิศคิ้วพระลอราช ประดุจเกาทัณฑ์ ก่งนา ฯ
๐ พิศกรรณงามเพริศแพร้ว กลกลีบบงกชแก้ว อีกแก้มปรางทอง เทียบนา ฯ
๐ ทำนองนาสิกไท้ คือเทพนฤมิตไว้ เปรียบด้วยขอกาม ฯ
๐ พระโอษฐ์งามยิ่งแต้ม ศศิอยู่เยียวยะแย้ม พระโอษฐ์โอ้งามตรู บารนี ฯ
เท่านี้ยังไม่พอค่ะ มีอีกนางหนึ่งที่กวีชมความงามของนางไว้ นั่นคือ นางประแดะ จากเรื่อง ระเด่นลันได มาดูกันค่ะว่า นางประแดะ จะงามขนาดไหนกัน
สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวตลอดเท้าขาวแต่ตา ทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ
คิ้วก่งเหมือนกงเขาดีดฝ้าย จมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ
หูกลวงดวงพักตร์หักงอ ลำคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียว โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม มันน่าเชยน่าชมนางเทวี ฯ
๒. นารีปราโมทย์ (บทชมเกี้ยวพาราสี) ใช้ชมความงามของธรรมชาติ ต้วละคร หรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น บทที่นนทกเกี้ยวนางนารายณ์แปลง จากเรื่องรามเกียรติ์ ดังนี้
โฉมเอยโฉมเฉลา เสาวภาคแน่งน้อยพิสมััย
วันนี้มาดูกันว่า "รสในวรรณคดี" ที่พบได้ในเรื่องต่าง ๆ มีอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ
๑. เสาวรจนี (บทชมความงาม) ใช้ชมความงามของธรรมชาติ ต้วละคร หรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น
บทชมความงามของนางอัปสรซึ่งเป็นร่างแปลงของพระนารายณ์ เพื่อมาหลอกล่อให้ยักษ์นนทกหลงรัก ซึ่งความงามของนางนารายณ์แปลง งามยิ่งกว่าพระลักษมีชายาของพระนารายณ์และพระสุรัสวดีชายาของพระพรหม จึงทำให้นนทกหลงรักนางแปลงและอยากทำความรู้จักกับนาง
"เหลือบเห็นสตรีวิไลลักษณ์ พิศพักตร์ผ่องเพียงแขไข
งามโอษฐ์งามแก้มงามจุไร งามนัยน์งามเนตรงามกร
งามถันงามกรรณงามขนง งามองค์ยิ่งเทพอัปสร
งามจริตกิริยางามงอน งามเอวงามอ่อนทั้งกายา
ถึงโฉมองค์อัครลักษมี พระสุรัสวดีเสน่หา
สิ้นทั้งไตรภพจบโลกา จะเอามาเปรียบไม่เทียบทัน
ดูไหนก็เพลินจำเริญรัก ในองค์เยาวลักษณ์สาวสวรรค์
ยิ่งพิศยิ่งคิดผูกพัน ก็เดินกระชั้นเข้าไป ฯ"
นอกจากนี้พระเอกในวรรณคดีไทยหลาย ๆ เรื่อง ก็มีบทชมความงามกับเขาเหมือนกัน เช่น ความสง่างามของพระลอ จากเรื่องลิลิตพระลอ ดังนี้ค่ะ
ประเสริฐสรรพสรรพางค์ แต่บาทางค์สุดเกล้า พระเกศงามล้วนเท้า พระบาทไท้งามสม สรรพนา
๐ รอยรูปอินทร์หยาดฟ้า มาอ่าองค์ในหล้า แหล่งให้คนชม แลฤา ฯ
๐ พระองค์กลมกล้องแกล้ง เอวอ่อนอรอรรแถ้ง ถ้วนแห่งเจ้ากูงาม บารนี ฯ
๐ โฉมผจญสามแผ่นแพ้ งามเลิศงามล้วนแล้้ รูปต้องติดใจ บารนี ฯ
๐ ฦๅขจรในแหล่งหล้า ทุกทั่วคนเที่ยวค้า เล่าล้วนยอโฉม ท่านแล ฯ
๐ เดือนจรัสโพยมแจ่มฟ้า ผิบได้เห็นหน้า ลอราชไซร้ดูเดือน ดุจแล ฯ
๐ ตาเหมือนตามฤคมาศ พิศคิ้วพระลอราช ประดุจเกาทัณฑ์ ก่งนา ฯ
๐ พิศกรรณงามเพริศแพร้ว กลกลีบบงกชแก้ว อีกแก้มปรางทอง เทียบนา ฯ
๐ ทำนองนาสิกไท้ คือเทพนฤมิตไว้ เปรียบด้วยขอกาม ฯ
๐ พระโอษฐ์งามยิ่งแต้ม ศศิอยู่เยียวยะแย้ม พระโอษฐ์โอ้งามตรู บารนี ฯ
เท่านี้ยังไม่พอค่ะ มีอีกนางหนึ่งที่กวีชมความงามของนางไว้ นั่นคือ นางประแดะ จากเรื่อง ระเด่นลันได มาดูกันค่ะว่า นางประแดะ จะงามขนาดไหนกัน
สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวตลอดเท้าขาวแต่ตา ทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ
คิ้วก่งเหมือนกงเขาดีดฝ้าย จมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ
หูกลวงดวงพักตร์หักงอ ลำคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียว โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม มันน่าเชยน่าชมนางเทวี ฯ
๒. นารีปราโมทย์ (บทชมเกี้ยวพาราสี) ใช้ชมความงามของธรรมชาติ ต้วละคร หรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น บทที่นนทกเกี้ยวนางนารายณ์แปลง จากเรื่องรามเกียรติ์ ดังนี้
โฉมเอยโฉมเฉลา เสาวภาคแน่งน้อยพิสมััย
เจ้ามาแต่สวรรค์ชั้นใด นามกรชื่อไรนะเทวี
ประสงค์สิ่งใดจะใคร่รู้ ทำไมมาอยู่ที่นี่
ข้าเห็นเป็นน่าปราณี มารศรีจงแจ้งกิจจา ฯ
หรือจะเป็นตอนที่พระอภัยมณีเกี้ยวนางละเวง ประมาณว่า ต่อให้โลกพังทลาย พี่ก็ยังหยุดรักน้องไม่ได้ ไม่ว่าน้องจะไปเกิดเป็นอะไร พี่ก็จะขอเกิดเป็นคู่ อยู่เป็นเงาตามตัวน้องตลอดทุกภพทุกชาติไป ดังนี้
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้เกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา เชยผกาโกสุมปทุมทอง
เจ้าเป็นถ้ำอำไพขอให้พี่ เป็นราชสีห์สิงสู่เป็นคู่สอง
จะติดตามทรามสงวนนวลละออง เป็นคู่ครองพิสวาสทุกชาติไป
๓. พิโรธวาทัง (บทโกรธ ตัดพ้อต่อว่า) ใช้แสดงอารมณ์โกรธ น้อยใจ ตัดพ้อต่อว่า เช่นบทที่นนทกตัดพ้อที่พระนารายณ์แปลงกายเป็นนางฟ้ามาหลอกล่อให้นนทกร่ายรำตาม จนนิ้วเพชรชี้ไปถูกขาของนนทกเอง ดังนี้
บัดนั้น นนทกผู้ใจแกล้วหาญ
ได้ฟังจึ่งตอบพจมาน ซึ่งพระองค์จะผลาญชีวี
เหตุใดมิทำซึ่งหน้า มารยาเป็นหญิงไม่บัดสี
หรือว่ากลัวนิ้วเพชรนี้ จะมาชี้พระองค์ให้บรรลัย
ตัวข้ามีมือแต่สองมือ ฤๅจะสู้ทั้งสี่กรได้
แม้นสี่มือเหมือนพระองค์ทรงชัย ที่ไหนจะทำได้ดั่งนี้ ฯ
๔. สัลลาปังคพิสัย (บทเศร้าโศก คร่ำครวญ) ใช้แสดงอารมณ์โศกเศร้าเสียใจ เช่น ในเรื่องอิเหนา เป็นบทที่นางประไหมสุหรีคร่ำครวญถึงมารดาของตนที่ต้องจากโลกนี้ไป ดังนี้
โอ้พระชนนี้ของลูกเอ๋ย พระคุณเคยปกป้องประคองขวัญ
เชยชมเช้าเย็นเป็นนิรันดร์ สารพันมิให้อนาทร
ยังมิได้ทดแทนสนองคุณ ซึ่งการุณรักร่ำพร่ำสอน
หรือมาละลูมไว้ให้อาวรณ์ หนีไปอมรเมืองฟ้า
พระประชวรโรคันคุ้งบรรลัย ก็มิได้พิทักษ์รักษา
เสียแรงที่อุ้มท้องประคองมา กัลยาร่ำพลางทางโศกี ฯ
เราได้เห็นตัวอย่างบทประพันธ์ที่ใช้รสวรรณคดีไทยไปแล้ว นะคะ หากน้อง ๆ พบข้อสอบที่ถามเรื่องรสวรรณคดี ก็ให้ยึดหลักตามนี้เลยจ้า...
รสวรรณคดีไทย
๑.เสาวรจนี - บทชมความงาม
๒. นารีปราโมทย์ - บทเกี้ยวพาราสี
๓. พิโรธวาทัง - บทโกรธ ตัดพ้อต่อว่า
๔. สัลลาปังคพิสัย - บทโศกเศร้า คร่ำครวญ